การปรับแต่งคุณสมบัติต่างๆ ให้เหมาะกับ ความต้องการของคุณนั้นจะใช้ข้อมูลที่อยู่ในอุปกรณ์ของคุณเอง อีกทั้งข้อมูลที่ส่งจากอุปกรณ์ของคุณ ไปยังบริการแผนที่ยังถูกเชื่อมโยงกับตัวบ่งชี้แบบสุ่มด้วย ดังนั้น Apple จึงไม่มีข้อมูลประวัติการเคลื่อนที่หรือการค้นหาของคุณ
ปรับแต่งให้เป็นคุณ
คุณสมบัติที่มีประโยชน์หลายๆ อย่าง เช่น การหารถ ที่คุณจอดไว้นั้นจะใช้ข้อมูลที่อยู่ในอุปกรณ์ของคุณเอง ซึ่งช่วยลดปริมาณข้อมูลที่ส่งมายังเซิร์ฟเวอร์ของ Apple
การเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง
แอปแผนที่จะซิงค์ข้อมูลส่วนตัวของคุณในทุกอุปกรณ์ด้วยการเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางสถานที่สำคัญและคอลเลกชั่นต่างๆ ของคุณจะถูกเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางดังนั้น Apple จึงไม่สามารถอ่านข้อมูลได้ แม้แต่ในกรณีที่คุณแชร์เวลา ที่คาดว่าจะไปถึงกับผู้ใช้แอปแผนที่คนอื่นๆ Apple ก็ยังไม่สามารถเห็นตำแหน่งที่คุณอยู่ได้เช่นกัน
ตัวบ่งชี้แบบสุ่ม
เมื่อเริ่มใช้แอปแผนที่คุณไม่ต้องลงชื่อเข้าใช้เพราะข้อมูลที่แอปแผนที่เก็บรวบรวมในขณะที่คุณใช้แอปไม่ว่าจะเป็นคำค้นหาเส้นทางที่ใช้ในการนำทาง และข้อมูลการจราจรจะผูกอยู่กับตัวบ่งชี้แบบสุ่มไม่ใช่กับ Apple ID ของคุณ และที่สำคัญตัวบ่งชี้เหล่านี้จะรีเซ็ตตัวเองในขณะที่คุณใช้แอปเพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดรวมถึงเพื่อปรับปรุงการทำงานของแอปแผนที่ให้ดียิ่งขึ้นนั่นเองซึ่งเมื่อไหร่ที่คุณแชร์การให้คะแนนหรือรูปภาพด้วยแอปแผนที่ข้อมูลที่คุณแชร์จะเชื่อมโยงกับ Apple ID ของคุณ
การอำพรางตำแหน่งที่ตั้ง
แอปแผนที่ยังทำงานเหนือชั้นขึ้นไปอีกขั้นด้วยการซ่อนตำแหน่งที่ตั้งของคุณบนเซิร์ฟเวอร์ Apple ทุกครั้งที่คุณค้นหา โดยใช้กระบวนการที่เรียกว่า "การอำพราง" ทั้งนี้ก็เพราะตำแหน่งที่ตั้งของคุณอาจเผยให้รู้ว่าคุณเป็นใคร แอปแผนที่จึงเปลี่ยนตำแหน่งที่ตั้งที่แน่นอนขณะที่คุณค้นหาให้กลายเป็นแบบไม่เจาะจง หลังจากผ่านไปแล้ว 24 ชั่วโมง โดยที่ Apple ก็จะไม่เก็บประวัติการค้นหาของคุณหรือสถานที่ที่คุณ เคยอยู่ด้วยเช่นกัน
Siri ได้รับการออกแบบมาให้เรียนรู้ให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ในขณะออฟไลน์ บนอุปกรณ์ของคุณเอง โดยการค้นหาและคำขอจะถูกเชื่อมโยงกับตัวบ่งชี้แบบสุ่ม ซึ่งเป็นตัวอักษรและตัวเลขเรียงต่อกันยาวๆ แทนที่จะเป็น Apple ID ของคุณ
คำแนะนำในตัวอุปกรณ์
ถ้าคุณขอให้ Siri อ่านหรือค้นหาข้อมูลในอุปกรณ์ของคุณเช่นในแอปข้อความและโน้ตเมื่อ Siriแนะนำผลลัพธ์ต่างๆรวมถึงผ่านทางวิดเจ็ตเรียบร้อยแล้วข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดของคุณจะถูกเก็บไว้ในอุปกรณ์ของคุณโดยไม่มีการส่งมาที่เซิร์ฟเวอร์ของ Apple
ตัวบ่งชี้แบบสุ่ม
ถึงแม้ว่า Apple จะพยายามทำสิ่งต่างๆ ในตัวอุปกรณ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เมื่อคุณใช้คุณสมบัติบางอย่าง เช่น การขอ Siri ด้วยเสียงพูด หรือการค้นหาใน Spotlight และ Safari แต่เซิร์ฟเวอร์ของ Apple ก็ยังต้องการข้อมูลที่คุณป้อนแบบเรียลไทม์อยู่ และเมื่อจำเป็นต้องส่งข้อมูลไปที่เซิร์ฟเวอร์ เราก็จะปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณโดยใช้ตัวบ่งชี้แบบสุ่ม แทนที่จะเป็น Apple ID ของคุณ นอกจากนี้ยังอาจมีการส่งข้อมูลอย่างตำแหน่งที่ตั้งของคุณมายัง Apple เพื่อปรับปรุงความแม่นยำของการตอบกลับ โดยที่คุณสามารถปิดบริการหาตำแหน่งที่ตั้งได้ทุกเมื่อ
การประมวลผล ในตัวอุปกรณ์
ตอนนี้การประมวลผลเสียงคำสั่งของคุณจะเกิดขึ้น บน iPhone ทั้งหมด เว้นแต่ว่าคุณได้เลือกที่จะแชร์ข้อมูลกับ Apple และด้วย Apple Neural Engine ทำให้สามารถใช้โมเดลการจำเสียงพูดที่มีคุณภาพสูง ในระดับเดียวกับการจำเสียงพูดที่อาศัยเซิร์ฟเวอร์ได้2
Siri และการป้อนตามคำบอก
ยิ่งคุณใช้งาน Siri และคุณสมบัติ "การป้อนตามคำบอก"มานานขึ้นเท่าไหร่ระบบก็จะเข้าใจและปรับปรุงการทำงานได้ดียิ่งขึ้นนั่นเพราะข้อมูลบางส่วน เช่น ชื่อของผู้ติดต่อ หรือเพลง หนังสือ และพ็อดคาสท์ที่คุณฟังจะถูกส่งไปที่เซิร์ฟเวอร์ของ Apple โดยใช้โปรโตคอลที่เข้ารหัสเพื่อช่วยให้ Siri และคุณสมบัติ"การป้อนตามคำบอก" สามารถจดจำวิธีที่คุณออกเสียงพูด และตอบสนองต่อความต้องการของคุณได้ดียิ่งกว่าเดิมอย่างไรก็ตามการทำงานของ Siri และคุณสมบัติ"การป้อนตามคำบอก"จะไม่เชื่อมโยงข้อมูลเหล่านี้กับ Apple ID ของคุณ แต่จะเป็นตัวบ่งชี้แบบสุ่มที่อุปกรณ์ของคุณสร้างขึ้นแทน และคุณสามารถรีเซ็ตตัวบ่งชี้เหล่านี้ได้ทุกเมื่อเพียงปิด Siri และคุณสมบัติ"การป้อนตามคำบอก"แล้วเปิดใหม่เพื่อเริ่มการใช้งานระหว่างคุณกับคุณสมบัตินี้อีกครั้งเพราะเมื่อใดที่มีการปิดใช้งาน Siri และคุณสมบัติ"การป้อนตามคำบอก"ข้อมูล Siri ของคุณที่เกี่ยวข้องกับตัวบ่งชี้ Siriก็จะถูกลบไปด้วยเพื่อเตรียมรองรับกระบวนการเรียนรู้ครั้งใหม่เมื่อคุณเปิดใช้งาน Siri อีกครั้ง โดยการป้อนตามคำบอกบนอุปกรณ์จะช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณให้รัดกุมยิ่งขึ้นด้วยการประมวลผลทุกสิ่งทุกอย่างแบบออฟไลน์
การปรับปรุง Siri และการป้อนตามคำบอก
ตามค่าเริ่มต้นแล้ว Apple จะไม่เก็บ เสียงบันทึกการโต้ตอบกับ Siri และคุณสมบัติ "การป้อนตามคำบอก" ไว้ แต่จะใช้บทสนทนาที่ ถอดเสียงโดยคอมพิวเตอร์เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ของ Siri และคุณสมบัติ "การป้อนตามคำบอก" แทน โดยที่คุณสามารถเลือกที่จะช่วยปรับปรุง Siri ได้ โดยการอนุญาตให้ Apple จัดเก็บและศึกษาเสียง การโต้ตอบระหว่างคุณกับ Siri และคุณสมบัติ “การป้อนตามคำบอก" ซึ่งคุณจะปิดเมื่อไหร่ก็ได้ โดยที่ตัวอย่างเสียงเหล่านี้จะถูกเชื่อมโยงกับตัวบ่งชี้ แบบสุ่ม แทนที่จะเป็น Apple ID ของคุณ นอกจากนี้ คุณยังสามารถลบคำขอทั้งหมดที่คุณมีกับ Siri และ คุณสมบัติ "การป้อนตามคำบอก" ที่เชื่อมโยงอยู่กับ ตัวบ่งชี้แบบสุ่มออกจากเซิร์ฟเวอร์ของ Apple ได้ ทุกเมื่อ ซึ่งรวมไปถึงเสียงบันทึกและบทสนทนาที่ถอดเสียงโดยคอมพิวเตอร์ด้วย แต่คุณอาจไม่สามารถลบคำขอที่เก่าเกินกว่า 6 เดือน และตัวอย่างคำขอส่วนเล็กๆ ที่ผ่านการศึกษาแล้ว เนื่องจากข้อมูลดังกล่าว จะไม่ได้เชื่อมโยงอยู่กับตัวบ่งชี้แบบสุ่มอีกต่อไป
คุณสามารถควบคุมได้ว่าจะให้ข้อมูลอะไรไปปรากฏบนแอปสุขภาพรวมถึงจะให้แอปไหนเข้าถึงข้อมูลของคุณผ่านทางแอปสุขภาพได้และหากคุณตัดสินใจเข้าร่วมการศึกษาวิจัยผ่านทางแอปการวิจัยของ Apple ก็ยังเลือกได้ว่าต้องการแชร์ข้อมูลอะไรกับนักวิจัยบ้าง
ข้อมูลที่เข้ารหัส
ข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณที่สร้างขึ้นในแอปสุขภาพถือเป็นกรรมสิทธิ์ของคุณทั้งในการใช้งานและการแชร์ โดยสามารถกำหนดได้ว่าจะให้ข้อมูลอะไรไปปรากฏบนแอป สุขภาพ และใครบ้างที่สามารถเข้าถึงข้อมูลของคุณได้ และเมื่อโทรศัพท์ของคุณถูกล็อคด้วยรหัสผ่าน, Touch ID หรือ Face ID ข้อมูลสุขภาพและฟิตเนสทั้งหมดที่อยู่ในแอปสุขภาพก็จะถูกเข้ารหัส โดยไม่รวมข้อมูล ID ทางแพทย์ไปด้วย นอกจากนี้ข้อมูลสุขภาพใดๆ ก็ตามที่สำรองไว้ใน iCloud ก็จะได้รับการเข้ารหัสทั้งในระหว่างรับส่งและเมื่ออยู่บนเซิร์ฟเวอร์ของเรา ยิ่งไปกว่านั้น หากคุณใช้ watchOS และ iOS เวอร์ชั่นล่าสุด และเปิดใช้การตรวจสอบสิทธิ์สองปัจจัยด้วยแล้ว คุณก็จะสามารถสำรองข้อมูลสุขภาพในแบบที่ Apple เองก็อ่านไม่ได้
การแชร์ และการลบกิจกรรม
คุณสามารถเลือกแชร์ข้อมูลกิจกรรมจาก Apple Watch ของคุณกับผู้ใช้คนอื่นๆ ได้ และหากคุณตัดสินใจที่จะหยุดแชร์ข้อมูลในภายหลังระบบจะสั่งให้ iPhone ของผู้ใช้รายนั้นลบประวัติข้อมูลที่เคยเก็บไว้ในแอปฟิตเนสออก และคุณยังสามารถซ่อนกิจกรรมของคุณได้ชั่วคราวอีกด้วย
ใหม่
การแชร์ข้อมูลสุขภาพ
แชร์ข้อมูลสุขภาพกับคนสำคัญของคุณ และเลือกได้ด้วยว่าต้องการแชร์ข้อมูลและแนวโน้มอะไรบ้าง อย่างเช่นสุขภาพหัวใจ, กิจกรรม, ผลแล็บ, สัญญาณชีพ, ID ทางแพทย์, การติดตามรอบเดือน และอีกมากมาย
คุณสมบัติ "ลงชื่อเข้าด้วย Apple" ให้คุณลงชื่อเข้าแอปและเว็บไซต์ด้วย Apple ID ที่คุณมีอยู่แล้ว โดยเมื่อคุณลงชื่อเข้าด้วย Apple แล้ว เว็บไซต์และแอปต่างๆ จะขอข้อมูลได้มากสุดเพียงแค่ชื่อและที่อยู่อีเมลของคุณเท่านั้น นอกจากนี้ Apple จะไม่มีการติดตามหรือเก็บข้อมูลของคุณเมื่อคุณ ลงชื่อเข้าด้วย Apple
ซ่อนอีเมลของคุณ
หากคุณไม่ต้องการแชร์ที่อยู่อีเมลกับแอปหรือเว็บไซต์ใดก็สามารถเลือกให้ซ่อนได้ และคุณยังเลือกให้ Apple สร้างที่อยู่อีเมลเฉพาะเพื่อใช้ส่งต่อข้อความไปยังอีเมลจริงของคุณได้อีกด้วย
การตรวจสอบสิทธิ์สองปัจจัย
การใช้งานคุณสมบัติ "ลงชื่อเข้าด้วย Apple" ต้องใช้กับ Apple ID ที่เปิดใช้งานการตรวจสอบสิทธิ์สองปัจจัย ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้การเข้าถึงบัญชีต่างๆ ในแอปโปรดของคุณปลอดภัยยิ่งขึ้นไปอีก
อัปเกรดเป็น "ลงชื่อเข้าด้วย Apple"
ตอนนี้นักพัฒนาสามารถเพิ่มตัวเลือกสำหรับคุณในการอัปเกรดบัญชีที่มีอยู่แล้วในแอปโดยใช้“ลงชื่อเข้าด้วย Apple”นั่นทำให้คุณสามารถลงชื่อเข้าใช้บัญชีของคุณได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายโดยใช้ Face ID หรือ Touch ID และใช้ประโยชน์จากการตรวจสอบสิทธิ์สองปัจจัยของ Apple เพื่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยที่ดียิ่งขึ้นโดยไม่ต้องสมัครบัญชีใหม่
ความบันเทิง
บริการด้านความบันเทิงของเราใช้ข้อมูลเกี่ยวกับ สิ่งที่คุณฟัง รับชม และเล่นเพื่อช่วยปรับแต่งประสบการณ์การใช้งานให้ตรงใจคุณมากยิ่งขึ้น แต่ Apple จะไม่มีการสร้างโปรไฟล์ที่ครอบคลุมกิจกรรมทุกอย่างที่คุณทำในบริการต่างๆ
Apple Music
Apple Music ไม่มีโฆษณาจากบริษัทอื่น โดย Apple จะเก็บข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับกิจกรรมที่คุณทำเมื่อคุณเล่นหรือเลือกหาเพลง เพื่อช่วยให้คุณสมบัติสำหรับแต่ละบุคคลต่างๆ อย่างเช่น "ฟังตอนนี้", "การเล่นอัตโนมัติ", มิกซ์เพลงส่วนตัว และการแจ้งเตือนเพลงออกใหม่นั้นสอดคล้องกับรสนิยมทางดนตรีของคุณ ซึ่งเราได้ระบุไว้อย่างชัดเจนใน "เกี่ยวกับ Apple Music และความเป็นส่วนตัว"ในขั้นตอนการตั้งค่า ทั้งนี้ Apple Music มีข้อผูกพันในการแชร์ข้อมูลบางอย่างที่เก็บรวบรวมเข้าด้วยกันให้กับพาร์ทเนอร์อย่างค่ายเพลงเพื่อจุดประสงค์ต่างๆ เช่น การชำระค่าลิขสิทธิ์ให้แก่ศิลปิน แต่การดำเนินการดังกล่าวจะใช้มาตรการปกป้องความเป็นส่วนตัวชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรมเท่านั้น
ซึ่ง Apple Music นั้นจะไม่แชร์ข้อมูลกับพาร์ทเนอร์ โดยใช้ตัวบ่งชี้ผู้ใช้หรืออุปกรณ์ใดๆ และถ้าหากคุณ ไม่อยากเก็บคอลเลกชั่นเพลงไว้บนเซิร์ฟเวอร์ของเรา ก็สามารถเลือกที่จะไม่ใช้คลังเพลง iCloud ได้ ยิ่งไปกว่านั้น iOS และ iPadOS ยังให้คุณควบคุมได้ว่าแอปไหนบ้างที่สามารถเข้าถึงบัญชีเพลงและรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของคุณ อีกทั้งคุณสมบัติ "เพื่อนๆ" ใน Apple Music ที่คุณเลือกใช้ได้นั้นยัง ให้คุณแชร์เพลงโปรดของคุณ และเลือกได้ว่า จะให้เพื่อนคนไหนเห็นเพลงในโปรไฟล์ของคุณ โดย Apple จะเข้าถึงได้เฉพาะรายชื่อที่คุณเลือกเพิ่มเป็นเพื่อนไว้ใน Apple Music เท่านั้น ไม่ใช่รายชื่อทั้งหมดของคุณ
Apple เก็บข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ซื้อ รายการดาวน์โหลด และกิจกรรมของคุณในแอป Apple TV ซึ่งรวมถึงรายการที่คุณรับชมในแอป Apple TV, แอปที่เชื่อมต่ออยู่ และตำแหน่งที่ตั้งของคุณ ทั้งนี้ก็เพื่อให้สามารถแนะนำรายการที่ตรงกับความสนใจ และปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน Apple TV ของคุณให้ดียิ่งขึ้น โดยคุณสามารถเลือกแชร์สิ่งที่คุณรับชมในแอปที่เชื่อมต่ออยู่เพื่อนำคอนเทนต์ทั้งหมดของคุณมารวมอยู่ในที่เดียวกัน แล้วคุณยังสามารถควบคุมประวัติการรับชมที่ Apple นำไปใช้เพื่อแนะนำรายการ ที่ตรงกับความสนใจของคุณได้อีกด้วย นอกจากนี้ คุณยังสามารถลบประวัติการรับชมจากแอปที่ เชื่อมต่ออยู่ที่ Apple เก็บไว้ได้ทั้งหมด หรือ เลือกลบเฉพาะบางแอปก็ได้
แอปทุกแอปใน App Store นั้นจะต้องปฏิบัติตามแนวทางอย่างเคร่งครัดในการปกป้องความเป็นส่วนตัว รวมถึงเตรียมรายงานสรุปของแอปว่าแอปนั้นใช้ข้อมูลของคุณอย่างไร นอกจากนี้แอปยังจำเป็นต้องขออนุญาตจากคุณก่อนจะเข้าถึงสิ่งต่างๆอย่างเช่นรูปภาพหรือตำแหน่งที่ตั้งของคุณด้วย
แนวทางปฏิบัติสำหรับแอป
ใน App Store นั้น Apple กำหนดให้นักพัฒนาแอปต้องปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งออกแบบมาเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวและ ความปลอดภัยของผู้ใช้ นอกจากนั้น Apple ยังกำหนดให้นักพัฒนาแอปต้องแจ้งนโยบายความเป็นส่วนตัวเพื่อให้คุณสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งหาก Apple ทราบว่ามีแอปที่ฝ่าฝืนแนวทางปฏิบัติของเรานักพัฒนาจะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหา มิเช่นนั้นแอปดังกล่าวจะถูกถอดออกจาก App Store และก่อนที่จะเปิดให้ดาวน์โหลดใน App Store ได้นั้นแอปต่างๆ จะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบอย่างละเอียดมาแล้วด้วย
ข้อมูลที่คุณจัดเก็บไว้ใน iCloud ได้รับการปกป้องด้วยการเข้ารหัส และระบบของเราก็ยังได้รับการออกแบบมาเพื่อไม่ให้นักพัฒนาของบริษัทอื่นที่ใช้ CloudKit สามารถเข้าถึง Apple ID ของคุณได้
การตรวจสอบสิทธิ์สองปัจจัยเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับ Apple ID ของคุณอีกขั้น เพราะออกแบบมาเพื่อช่วยให้มั่นใจว่ามีเพียงคุณคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าใช้งานบัญชีของคุณได้ ถึงแม้ว่า จะมีคนอื่นรู้รหัสผ่านของคุณก็ตาม อีกทั้งยัง ตั้งค่าและใช้งานง่ายอีกด้วย
คุณสมบัติ "การแชร์กันในครอบครัว" ให้เด็กๆ มี Apple ID ของตัวเองได้ โดย จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้จัดการครอบครัว ซึ่ง Apple ได้พัฒนาเครื่องมือ อย่างเช่น "ขออนุญาตซื้อ" ที่ให้พ่อแม่ เป็นผู้อนุมัติการดาวน์โหลดแอปหรือการ ซื้อภายในแอป เพื่อให้สามารถควบคุม การซื้อของเด็กๆ ที่ใช้ Apple ID ของ พวกเขาเองได้ โดย Apple ต้องได้รับ ความยินยอมจากพ่อแม่หรือผู้ปกครอง ในการสร้าง Apple ID สำหรับเด็ก และ Apple จะให้สิทธิ์แก่ผู้ใหญ่ให้สามารถดูกิจกรรมและคอนเทนต์ของเด็กๆ ได้
Apple ไม่มีการนำข้อมูลของนักเรียนไปขาย และเราไม่มีการแชร์ข้อมูลให้บริษัทอื่นนำไปใช้ทำการตลาดหรือโฆษณา นอกจากนี้ Apple ยังไม่เก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลของนักเรียนจาก Apple School Manager, แอปงานชั้นเรียน, แอปห้องเรียน, iTunes U หรือ Apple ID ที่ได้รับการจัดการ เพื่อจุดประสงค์อื่นใดนอกเหนือจากการให้บริการด้านการศึกษาที่เกี่ยวข้อง และ Apple จะไม่ติดตามการใช้งานของนักเรียนหรือสร้างโปรไฟล์ที่อิงจากอีเมลหรือการเข้าเข้าชมเว็บของนักเรียน โดยผู้ปกครองสามารถเลือกได้ว่าจะให้บุตรหลานของตนเข้าร่วมหรือไม่ และนักเรียนก็สามารถเข้าดูข้อมูลของตนผ่านอุปกรณ์ของตนเองได้
Apple ได้พัฒนาเทคโนโลยีที่จะช่วยอำพรางตัวตนของคุณเมื่อจำเป็นต้องส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Apple และในบางครั้งเรายังใช้ตัวบ่งชี้แบบสุ่มเพื่อไม่ให้ข้อมูลนั้นเชื่อมโยงกับ Apple ID ของคุณ นอกจากนี้เรายังบุกเบิกการใช้เทคนิค Differential Privacy เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมในรูปแบบต่างๆ โดยที่ยังคงปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้แต่ละคนเอาไว้ ซึ่งหากคุณเลือกที่จะส่งข้อมูลการวิเคราะห์เกี่ยวกับการใช้งานอุปกรณ์ของคุณมายัง Apple ข้อมูลที่เก็บมานั้นก็จะไม่บ่งบอกว่าคุณเป็นใคร อีกทั้งในขณะที่รวบรวมข้อมูลดังกล่าวก็จะไม่มีการบันทึกข้อมูลส่วนตัวใดๆ เอาไว้ หรือมีการลบข้อมูลส่วนตัวออกจากรายงานก่อนจะส่งมายัง Apple หรือใช้เทคนิคต่างๆ เช่น Differential Privacy เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวเหล่านั้น ด้วยเทคนิคเหล่านี้เองที่ช่วยให้เราสามารถให้บริการและปรับปรุงบริการต่างๆ โดยที่ยังคงปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณได้