อาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
RMS Lusitania coming into port, possibly in New York, 1907-13-crop.jpg
เรือลูซิเทเนีย
ประวัติ Government Ensign of the United Kingdom.svg
ชื่อเรือ: อาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย[1]
เจ้าของ: สายการเดินเรือคูนาร์ด (Cunard Line)[1]
จดทะเบียนที่: ลิเวอร์พูล, ประเทศอังกฤษ, สหราชอาณาจักร สหราชอาณาจักร[1]
เส้นทางเดินเรือ: ลิเวอร์พูล - นิวยอร์ก
ต่อขึ้นที่: อู่ต่อเรือจอห์น บราวน์
เลขที่อู่ต่อเรือ: 367
วางกระดูกงู: 16 มิถุนายน ค.ศ. 1904[1]
ปล่อยลงน้ำ: 7 มิถุนายน ค.ศ. 1906[2][1]
พิธีตั้งชื่อเรือ: Mary, Lady Inverclyde[3][4]
เดินทางครั้งแรก: 7 กันยายน ค.ศ. 1907[1]
ประจำการ: ค.ศ. 1907 - ค.ศ. 1915
ปลดประจำการ: N/A
จุดจบ: ในวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1915 สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง - เรือดำน้ำเยอรมันยิงตอร์ปิโดเข้าใส่ เรือลูซิเทเนียจนอับปางลง ใน 18 นาที คร่าชีวิตลูกเรือ 1,198 คน เวลา 2.10 PM.-2.28 PM. ตามเวลาท้องถิ่น [1][4]
สถานะ: อัปปาง
ลักษณะเฉพาะ
ชั้น: ตระกูลลูซิเทเนีย
ขนาด (ตัน): 31,550 ตันเนจ[5][4]
ขนาด (ระวางขับน้ำ): 44,060 ตัน[4]
ความยาว: 787 ฟุต (239.88 เมตร)[6][1][5]
ความกว้าง: 87 ฟุต (26.52 เมตร)[1][5][4]
กินน้ำลึก: 33.6 ฟุต[1][4]
ดาดฟ้า:
เครื่องยนต์: หม้อน้ำรวม 25 ชุด ส่งเชื้อเพลิงให้เครื่องยนต์ 4 ตัว เครื่องยนต์ 4 ตัว หมุนใบจักร 4 ใบ รวม 76,000 แรงม้า[1]
ใบจักร: ขับเคลื่อนด้วย 4 ใบจักร[1]
ความเร็ว: เร่งความเร็วเรือได้สูงสุด 26.7 น็อต (49.4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ความเร็วมาตรฐาน 25 น็อต (46.3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)[1][5]
ความจุ: สามารถจุผู้โดยสารได้ 2,198 คน[5] โดยแบ่งเป็น ชั้นสาม 1,186 คน , ชั้นสอง 460 คน และชั้นหนึ่ง 552 คน และลูกเรีออีก 850 คน ยาว 239.88 เมตร กว้าง 26.52 เมตร[1]
ลูกเรือ: 850 คน[1]

อาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย (อังกฤษ: RMS Lusitania) คือชื่อเรือเดินสมุทรสัญชาติอังกฤษที่ครอบครองรางวัลบลูริบบันด์ (Blue Riband) ซึ่งมอบให้กับเรือที่เป็นเจ้าของสถิติเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกด้วยเวลาน้อยที่สุด และเป็นเรือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ณ ขณะนั้น อาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนียเดินสมุทรครั้งแรกโดยบริษัทสายการเดินเรือคูนาร์ดในปี ค.ศ. 1906 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การค้าขายระหว่างสองฝากฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นไปอย่างคึกคักและมีการแข่งขันที่รุนแรง ต่อมาในปี ค.ศ. 1915 อาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนียถูกยิงด้วยตอร์ปิโดและอัปปางลงโดยเรือดำน้ำของเยอรมัน คร่าชีวิตลูกเรือและผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 1,198 คน

ในขณะนั้น สายการเดินเรือสมุทรของเยอรมันมีแน้วโน้มที่จะผูกขาดเส้นทางเดินเรือสำราญอันมั่งคั่งจากการอพยพย้ายถิ่นข้ามทวีป สายการเดินเรือคูนาร์ดจึงตอบโต้คู่แข่งของตนด้วยความพยายามสร้างเรือที่เหนือกว่าในเชิงของความเร็ว ความจุผู้โดยสาร และความหรูหรา ลูซิเทเนีย และเรือคู่แฝด อาร์เอ็มเอส มอริเตเนีย จึงถูกสร้างขึ้นจากเครื่องยนต์ใบพัดแบบใหม่ที่ปฏิวัติวงการเดินเรือสมุทร ทำให้เรือสามารถแล่นด้วยความเร็วสูงสุด 25 น็อตต่อชั่วโมง ภายในมีการติดตั้งลิฟต์ โทรเลขไร้สาย และระบบไฟฟ้าส่องสว่าง อีกทั้งยังมีพื้นที่รองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 มากกว่าเรือเดินสมุทรลำอื่น ๆ อันรวมไปถึงพื้นที่ของผู้โดยสารชั้นหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขานถึงการตกแต่งที่หรูหราและโอ่อ่า

ในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1915 เรือได้แล่นออกจากท่าที่นครนิวยอร์กมุ่งหน้าสู่ลิเวอร์พูล ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นการเดินทางเที่ยวสุดท้ายของเรือ ช่วงเวลานั้นเองที่การสู้รบด้วยเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดขอบเขตในมหาสมุทรแอตแลนติกอันเป็นส่วนหนึ่งของการสู้รบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งกำลังทวีความรุนแรงขึ้น ก่อนหน้านี้เยอรมนีได้ประกาศให้น่านน้ำรอบสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เป็นเขตสู้รบ ส่วนสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีในสหรัฐอเมริกาเองก็ได้ลงโฆษณาตามหน้าหนังสือพิมพ์ กล่าวเตือนประชาชนไม่ให้โดยสารไปกับเรือ ลูซิเทเนีย ต่อมา ณ บ่ายของวันที่ 7 พฤษภาคม อาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย ถูกเรือดำน้ำ อูโบท (U-boat) ของเยอรมันยิงตอร์ปิโดเข้าใส่ภายในเขตน่านน้ำที่ถูกประกาศให้เป็นเขตสู้รบ ซึ่งห่างจากแนวชายฝั่งของไอร์แลนด์เป็นระยะทาง 11 mi (18 km) เกิดการระเบิดขึ้นจากภายในเรือสองครั้ง ทำให้เรืออัปปางลงภายในระยะเวลา 18 นาทีหลังจากการระเบิดครั้งที่สอง

จากการโจมตีเรือพลเรือนโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าในครั้งนี้ เยอรมนีได้ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศที่รู้จักกันในนาม กฎเรือเดินสมุทร (Cruiser Rules) แต่กระนั้นเองฝ่ายเยอรมันก็มีเหตุผลของตนที่จะพิจารณาลูซิเทเนียว่าเป็นเรือสู้รบของกองทัพ เพราะว่าภายในเรือบรรทุกยุทโธปกรณ์สงครามที่ซึ่งฝ่ายอังกฤษเองก็ได้ละเมิดกฎเรือเดินสมุทรด้วยเช่นกัน[7][8][9][10][11] การอัปปางลงของเรือลูซิเทเนียจุดชนวนให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 128 คน เป็นชาวอเมริกัน นอกจากนี้เหตุการณ์ดังกล่าวยังเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้สหรัฐอเมริกาประกาศเข้าร่วมสงครามในปี ค.ศ. 1917

สาเหตุการสร้างเรือลูซิเทเนีย[แก้ไขต้นฉบับ]

เรือลูซิเทเนียถูกปล่อยลงน้ำเป็นครั้งแรก

ใน ค.ศ. 1901 เอสเอส ไคเซอร์ วิลเฮล์ม เดอร์ กรอสเซอ (SS Kaiser Wilhelm der Grosse) ของสายการเดินเรือนอร์ดดอยเชอร์ลอยด์ (Norddeutscher Lloyd) แย่ง Blue Riband ซึ่งเป็นตำแหน่งเรือที่เร็วที่สุดในโลกไปจาก RMS Lucania ของสายการเดินเรือคูนาร์ด

ใน ค.ศ. 1901 สายการเดินเรือไวต์สตาร์ไลน์ (White Star Line) ได้ตัดสินใจสร้างเรือโดยสารที่ใหญ่กว่าเรือ SS Great Eastern เป็นลำแรก โดยจัดทำเป็นโครงการสร้างเรือใหญ่ 4 ลำ

เรือทั้งสี่จะมีขนาดกว่า 20,000 ตัน เน้นการออกแบบภายในเรือที่สะดวกสบาย โดยเรือลำแรกของโครงการดังกล่าวคือเรืออาร์เอ็มเอส เคลติก (ค.ศ. 1901) (RMS Celtic) ปล่อยลงน้ำครั้งแรกในวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1901 กลายเป็นเรือใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยขนาด 21,035 ตัน ตามมาด้วยเรืออาร์เอ็มเอส เซดริก (RMS Cedric) แต่มันไม่ได้เป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ใน ค.ศ. 1905 เอสเอส อเมริกา (SS America) ของสายการเดินเรืออื่นสร้างเสร็จ แย่งตำแหน่งเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปจาก Celtic แต่อยู่ในตำแหน่งได้ไม่ทันจบปี ค.ศ. 1905เรือโดยสารลำที่ 3 ของโครงการสร้าง 4 เรือยักษ์ ชื่อ อาร์เอ็มเอส บอลติก (ค.ศ. 1903) (RMS Baltic) สร้างเสร็จในปีเดียวกัน ชิงตำแหน่งเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกกลับคืนสู่สายการเดินเรือไวต์สตาร์ไลน์ได้ 1 ปี ก่อนจะถูกสายการเดินเรืออื่นแย่งตำแหน่งไปอีก

และเรือลำสุดท้ายของโครงการ สร้างเสร็จใน ค.ศ. 1907 คือเรืออาร์เอ็มเอส เอเดรียติก (RMS Adriatic) แต่เรือลำนี้ไม่ได้เป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลก

เรือ SS Kaiserin Auguste Victoria (RMS Empress of Scotland (1906)) จากสายการเดินเรืออื่น แย่งตำแหน่งเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปจาก RMS Baltic ในปี ค.ศ. 1906

ลักษณะเฉพาะของเรือ[แก้ไขต้นฉบับ]

ขับเคลื่อนด้วย 4 ใบจักร หม้อน้ำรวม 25 ชุด ส่งเชื้อเพลิงให้เครื่องยนต์ 4 ตัว เครื่องยนต์ 4 ตัว หมุนใบจักร 4 ใบ รวม 76,000 แรงม้า เร่งความเร็วเรือได้สูงสุด 26.7 น็อต (49.4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ความเร็วมาตรฐาน 25 น็อต (46.3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ในการบรรจุผู้โดยสาร โดยปกติ เรือลูซิเทเนีย สามารถจุผู้โดยสารได้ 2,198 คน โดยแบ่งเป็น ชั้นสาม 1,186 คน, ชั้นสอง 460 คน และชั้นหนึ่ง 552 คน และลูกเรีออีก 850 คน ยาว 239.88 เมตร กว้าง 26.52 เมตร ขนาดของเรือ 31,550 ตัน[1]

ลูซิเทเนีย คือชื่อของจังหวัดโรมันโบราณ ปัจจุบันคือประเทศโปรตุเกส

ลักษณะทั่วไปอื่น ๆ[แก้ไขต้นฉบับ]

  • ปล่องไฟ: 4 ปล่อง[1]
  • การทาสี: ปลายปล่องไฟทาสีดำ ตัวปล่องทาสีแดงโดยมีแถบสีดำสามแถบรอบ ๆ ซุเปอร์สตรัคเจอร์ทาสีขาวงาช้าง ตัวเรือทำสีดำ โดยมีแถบสีทองคาดกลางระหว่างตัวเรือกับซูเปอร์สตรักเจอร์ตลอดความยาวเรือ ท้องเรือใต้แนวน้ำทางสีแดง ใบจักรสีทองบรอนซ์
  • หัวเรือและท้ายเรือ: สมอเรือ 2 ตัว, เสากระโดงเรือ 2 ตัว

กัปตันเรือ[แก้ไขต้นฉบับ]

  • 1907-1908: เจมส์ วัตต์[1]
  • 1908-1912: วิลเลียม เทอร์เนอร์[1]
  • 1912-1913: เจมส์ ชาลส์[1]
  • 1913-1915: แดเนียล ดาว[1]
  • 1915: วิลเลียม เทอร์เนอร์[1]

เปรียบเทียบกับเรือตระกูลโอลิมปิก[แก้ไขต้นฉบับ]

ลูซิเทเนียและมอริเตเนียมีขนาดเล็กกว่าเรือตระกูลโอลิมปิกของสายการเดินเรือไวต์สตาร์ (ออกบริการครั้งแรก 5 ปีในต่อมา) สายการเดินเรือคูนาร์ดไม่สามารถรับประกันได้ทุกสัปดาห์ว่า เรือคู่แฝดนี้จะสามารถเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกตามเวลาที่กำหนด ถึงแม้ว่าเรือลูซิเทเนียและมอริเตเนียจะสามารถทำความเร็วได้ดีกว่า แต่เรือตระกูลโอลิมปิกได้เปรียบด้านขนาดและความหรูหรา สายการเดินเรือคูนาร์ดจึงสั่งต่อเรือลำที่สาม คือ เรืออาร์เอ็มเอส แอควิเทเนีย (RMS Aquitania) ขึ้นภายในเวลาหลังจากสายการเดินเรือไวต์สตาร์ประกาศต่อเรือโอลิมปิกไม่นาน เรือลำที่สามต่อขึ้นในอู่ต่อเรือจอห์น บราวน์ ใน ค.ศ. 1914 โดยออกแบบให้เรือทำความเร็วได้ช้าลงกว่าเรือแฝด แต่มีขนาดใหญ่และหรูหราขึ้นจากเดิมเช่นเดียวกับเรือตระกูลโอลิมปิก เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดกลับคืนมา

ประวัติ[แก้ไขต้นฉบับ]

ภาพวาดการจมของเรือ

สายการเดินเรือคูนาร์ด (Cunard Line) ซึ่งเป็นคู่แข่งรายสำคัญของไวต์สตาร์ไลน์ ได้ต่อเรือ อาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย (RMS Lusitania) ต่อขึ้นในอู่ต่อเรือ John Brown เริ่มวางกระดูกในวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1904 โดยในปีเดียวกัน คูนาร์ดก็สร้าง อาร์เอ็มเอส มอริเตเนีย (RMS Mauretania) ที่ต่อขึ้นในอู่ต่อเรือ Tyneside หลังจากเสร็จสิ้นโครงการเรือลูซิเทเนียในปี ค.ศ. 1907 ได้กลายเป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกแทนเรือ SS Kaiserin Auguste Victoria และหลังจากนั้นไม่นาน เรืออาร์เอ็มเอส มอริเตเนีย ก็ได้ตำแหน่งเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกแทน ทั้งคู่มีขนาดใหญ่กว่า 30000 ตัน แล่นด้วยความบริการ 24 นอต (44.45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) เป็นเรือแฝดรุ่นใหม่ของคูนาร์ด

ในวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1906 เรือลูซิเทเนียถูกปล่อยลงน้ำเป็นครั้งแรก และในวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1907 ได้มีการทดสอบเรือลูซิเทเนีย ในระหว่างการทดสอบเรือเบื้องต้น มีบันทึกอย่างเป็นทางการว่าความเร็วเรือที่สามารถทำได้ทำลายทุกสถิติความเร็วที่เคยมีมาในวงการเดินเรือขนส่ง แต่วิศวกรเรือและเจ้าหน้าที่พบว่าที่ความเร็วเรือสูงสุดเกิดการสั่นสะเทือนบริเวณท้ายเรืออย่างรุนแรง คูนาร์ดจึงนำเรือกลับเข้าอู่อีกครั้งเพื่อไปเพิ่มความแข็งแรงทางโครงสร้างบริเวณดังกล่าว และส่งต่อให้กับบริษัทเป็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1907

ออกเดินทางเที่ยวแรกจากเมืองเซาแทมป์ตัน สหราชอาณาจักร ไปยังนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 1907 ชิงรางวัลบลูริบบันด์ทิศตะวันออกไปจากเอสเอส ไคเซอร์ วิลเฮล์มที่ 2 (SS Kaiser Wilhelm II) ของสายการเดินเรือนอร์ดดอยเชอร์ลอยด์ ต่อมามอริเตเนียได้รับรางวัลบลูริบบันด์แทนที่ลูซิเทเนียอย่างถาวรในเดือนกันยายนปีเดียวกัน มอริเตเนียกลายเป็นเรือขนส่งกองทหารและเรือพยาบาล ในขณะที่ลูซิเทเนียบริการเป็นเรือเดินสมุทร

การเดินทางเที่ยวสุดท้าย[แก้ไขต้นฉบับ]

ลูซิเทเนียแล่นออกจากท่าเรือ 54 ที่นิวยอร์กในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1915 และก่อนหน้านี้สถานทูตเยอรมันในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้ออกประกาศเตือนในวันที่ 22 เมษายน มีใจความว่า[12]

คำเตือน!
ผู้เดินทางที่มีความประสงค์จะโดยสารเรือเดินสมุทรแถบแอตแลนติก โปรดทราบว่า ขณะนี้มีภาวะสงครามระหว่างเยอรมันพร้อมพันธมิตรฝ่ายหนึ่ง แลบริเตนใหญ่พร้อมพันธมิตรอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเขตสงครามนั้นครอบคลุมไปถึงน่านน้ำอันคาบเกี่ยวกับหมู่เกาะอังกฤษ ฉนั้น รัฐบาลจักรวรรดิเยอรมันจึงขอประกาศเตือนอย่างเป็นทางการว่า บรรดาเรือที่ติดธงบริเตนหรือพันธมิตรของบริเตน อาจถูกทำให้อัปปางลงในน่านน้ำดังกล่าว ดังนั้นผู้ที่จะโดยสารเรือของบริเตนแลพันธมิตรของบริเตนในเขตสงครามนั้น ต้องรับความเสี่ยงเอาเอง
สถานเอกอัครราชทูตจักรวรรดิเยอรมัน
กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. 22 เมษายน 1915

นี่คือคำเตือนที่ประกาศเอาไว้ถัดจากข้อความโฆษณาของลูซิเทเนีย คำเตือนนี้ส่งผลให้เกิดความตื่นตัวในสื่อต่าง ๆ รวมทั้งสร้างความกังวลต่อผู้โดยสารและลูกเรือเป็นอย่างยิ่ง

ในวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1915 สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง - เรือดำน้ำเยอรมันยิงตอร์ปิโดเข้าใส่ เรือลูซิเทเนีย จนอับปางลง ใน 18 นาที คร่าชีวิตลูกเรือ 1,198 คน

ผลกระทบจากการจมของเรือ[แก้ไขต้นฉบับ]

ภายหลังจากการจมเรือลูซิเทเนียอันโด่งดังในปี ค.ศ. 1915 เยอรมนีสัญญาว่าจะไม่โจมตีเส้นทางของเรือพาณิชย์อีก ขณะที่อังกฤษได้ติดอาวุธให้กับเรือพาณิชย์ของตน ในที่สุดแล้ว ต้นปี ค.ศ. 1917 หลังการอัปปางของเรือเอชเอ็มเอชเอส บริแทนนิก เยอรมนีได้ระงับกลยุทธ์สู้รบด้วยเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดขอบเขต เนื่องจากกลัวว่าสหรัฐอเมริกาจะเข้าสู่สงคราม และพยายามที่ค้นหาเส้นทางการเดินเรือของฝ่ายพันธมิตรก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะขนส่งกองทพขนาดใหญ่ข้ามทะเลมาได้

อ้างอิง[แก้ไขต้นฉบับ]

  1. 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 1.12 1.13 1.14 1.15 1.16 1.17 1.18 1.19 1.20 1.21 Maritimequest: Lusitania's data
  2. Atlantic Liners.
  3. "Person Page 19065". thePeerage.com. สืบค้นเมื่อ 2009-02-25.
  4. 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 4.5 Lusitania Home at Atlantic Liners
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 Great Ocean Liners: Lusitania
  6. http://www.atlanticliners.com/lusitania_home.htm#Anchor-Lusitani-33651 for further information.
  7. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Adolf Hitler pg 89
  8. Butler, Daniel Allen (2004). The Age of Cunard: A Transatlantic History ; 1839 – 2003. ProStar Publications. p. 215. ISBN 978-1-57785-348-0.
  9. Carlisle, Rodney P. (2009). World War I. Infobase Publishing. p. 73. ISBN 978-1-4381-0889-6.
  10. Tucker, Spencer and Roberts, Priscilla Mary (2005). World War One. ABC-CLIO. p. 1146. ISBN 978-1-85109-879-8.CS1 maint: multiple names: authors list (link)
  11. Simpson, Colin (1972). The Lusitania Sinking, LIFE p. 60.
  12. http://www.fas.org/irp/ops/ci/docs/ci1/notice.jpg

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้ไขต้นฉบับ]